ชื่อ “น้องเก๋” เป็นที่จดจำของพี่น้องชาวไทยมาถึงทุกวันนี้ หลังจากที่เธอคว้าเหรียญทองจากเกมกีฬาอันยิ่งใหญ่ “โอลิมปิกเกมส์ 2008″ ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ทว่าเธอไม่มีโอกาสได้ทำผลงานครั้งสุดท้ายอย่างที่วาดฝันเอาไว้คือ การได้ร่วมศึกโอลิมปิกเกมส์เป็นสมัยที่ 2 ใน “ลอนดอนเกมส์ 2012″ ที่ประเทศอังกฤษด้วยเหตุผลของสมาคมยกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และตัวเธอก็น้อมรับเหตุผลเหล่านั้นในที่สุด ก่อนจะหลุดโผจากแคมป์เก็บตัวฝึกซ้อมทีมชาติชุดปัจจุบัน
นั่นคือจุดที่นำมาสู่งาน “อำลาทีมชาติ” อย่างเป็นทางการ
สมาคมยกน้ำหนักภายใต้การกุมบังเหียนของ “เสธ.ยอด” พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย นายกสมาคม ได้จัดงานอำลาให้ “น้องเก๋” ร่วมด้วยงานฉลองชัยซีเกมส์ 2011-โอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพ เมื่อคืนวันที่ 14 ตุลาคม มีสมาชิกยกน้ำหนักทั่วประเทศให้เกียรติร่วมงานคับคั่ง รวมถึงอดีตฮีโร่โอลิมปิก “ไก่” ปวีณา ทองสุก, “อร” อุดมพร พลศักดิ์, อารีย์ วิรัฐถาวร และฮีโร่คนล่าสุด “แต้ว” พิมศิริ ศิริแก้ว
ก่อนขึ้นเวทีกล่าวคำอำลา “น้องเก๋” ซึ่งเริ่มเล่นยกน้ำหนักตอนอายุ 10 ขวบ จากการชักชวนของ โค้ชสมชาติ แสงน้อย และโค้ชประทีป แสงน้อย ได้เปิดใจถึงจุดหักเห จากก่อนหน้าที่มีข่าวว่ายังไม่อยากเลิกเล่น แต่ก็ตัดสินใจแขวนเหล็กในที่สุด
“เก๋คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ถ้าการที่เราต้องไปเริ่มต้นฉบับหนึ่งใหม่ ด้วยอายุของเรามันไม่สมควรเริ่มนับหนึ่งใหม่ สมควรจะเดินไปข้างหน้าในสายยกน้ำหนัก แต่เมื่อต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ก็มีความรู้สึกว่าเราคงต้องเอาเวลานั้นไปปรับเปลี่ยนชีวิตที่มั่นคงมากขึ้น ณ วันใดวันหนึ่ง เราก็ต้องเลิก ต้องหยุดอาชีพนี้แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเร็วหรือช้าแค่นั้น“
ประภาวดี หรือชื่อเดิม “จันทร์พิมพ์ กันทะเตียน” ในวัย 28 ปี เล่าถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้จากยกน้ำหนัก หลังจากคลุกคลีอยู่กับกีฬาชนิดนี้มาเกือบ 20 ปี
“ยกน้ำหนักให้แทบทุกสิ่งอย่าง ทั้งอนาคต การศึกษา ฐานะ ความมั่นคง เราได้เป็นทหาร ในยศร้อยโท มีอาชีพที่มั่นคงสามารถเลี้ยงตัวเองต่อไปได้ เก๋เพิ่งเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ประจำแผนกสนับสนุนการผลิตสายพลาธิการ…
…นอกจากนี้ ยกน้ำหนักสอนให้เรารู้ว่าวันหนึ่งมีสูง เราก็ต้องมีลง มีล้มก็มีลุก ถ้าเราไม่เคยล้มก็จะไม่รู้วิธีว่าจะทำอย่างไรให้เราลุก ที่ผ่านมาล้มหลายครั้ง ล้มแล้วลุกๆ จนมีความรู้สึกว่า ณ วันนี้ ไม่มีอะไรแล้วที่เราผ่านไปไม่ได้ ตอนที่ล้มมันเป็นความรู้สึกเหนื่อย เจ็บและเครียด เพราะบางที เราก็คาดหวังในตัวเองค่อนข้างเยอะ“
กับความรู้สึกแรกของประภาวดี เมื่อต้องแขวนชุดนักกีฬาแล้วพลิกบทบาทจาก “จอมพลัง” มาสวมชุดทหารอันทรงเกียรติทำหน้าที่ “ทหาร” รับใช้ประเทศชาติ
“วันแรกที่เข้าไปทำงาน รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับเราเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในสังคมที่เราไม่เคยรู้จัก ณ วันนี้ เราเข้าไปได้เรียนรู้ตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ทำตรงนี้ด้วย…บรรยากาศก็สนุก มาก อยู่กับหลายๆ คนที่เอ็นจอยไปกับเรา เขามีความสุข เราก็มีความสุข…งานวันแรกที่ทำคือเซ็นหนังสือเพราะตรงจุดที่เราไปทำก่อน หน้านี้ขาดคนเก๋ทำงานในส่วนของคลังหนัง ตรวจสอบเรื่องการเย็บรองเท้า หนังฟอกรองเท้าการผลิตทั้งรองเท้าและเสื้อผ้า“
ขณะที่เป้าหมายในชีวิตของ “ร้อยโทหญิง ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล” …มีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่และก้าวไปให้สูงที่สุดเท่าที่หน้าที่การงาน ของเธอเอง ณ กรมพลาธิการ จ.นนทบุรี จะสามารถก้าวไปถึงได้ ซึ่งทุกคนพร้อมให้การสนับสนุนเธอคนนี้ ผู้สร้างชื่อเสียงและเกียรติประวัติให้ประเทศไทยมาแล้ว
“น้องเก๋” ได้ฝากความในใจไปถึงรุ่นน้องเป็นการส่งท้าย ก่อนที่เธอจะกลายเป็น “อดีตนักยกน้ำหนัก” เมื่อเสร็จสิ้นพิธี
“อยากให้น้องๆ ตั้งใจฝึกซ้อม เชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมาย มีความฝัน อยากให้น้องๆ ก้าวไปถึงจุดนั้น ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับเรา คนอื่นก็ยังทำได้ เราก็ต้องทำได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราได้พยายามเต็มที่แล้วหรือยัง”