หลังการประชุม พล.ต.อ.สันต์แถลงว่า รอบปีที่ผ่านมา สมาคมเผชิญปัญหาเรื่องของผลงานจนทำให้เงียบห่ายไปจากวงการกีฬาไทยพอสมควร ซึ่งกรรมการบริหาร สต๊าฟโค้ช และนักกรีฑาทีมชาติไทยตระหนักดีว่าในปีหน้าเป็นต้นไปสมาคมต้องทำงานกันหนัก ขึ้นเพื่อพาทีมกรีฑาไทยกลับมาสู่ยุครุ่งเรืองให้ได้ จึงได้วางแผนผ่าตัดนักกรีฑาไทยใหม่หมด โดยจะเรียกนักกรีฑาดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการกรีฑาไทยมาเก็บตัวฝึกซ้อมระยะยาว 4 ปีเพื่อเป้าหมายมุ่งสู่โอลิมปิกเกมส์ 2016 “รีโอเกมส์” ที่กรุงรีโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล นักกรีฑาตัวหลักที่จะเป็นชุดใหญ่ในการพัฒนาไปสู่โอลิมปิก 2016 คือนักกรีฑาทั้งประเภทลู่ และลานจากการแข่งขันเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย 2011 และ 2012 ซึ่งจะเป็นรุ่นเดียวกับ “มิ้ว” จิระพงศ์ มีนาพระ และ “บอย” ศุภชัย ฉิมดี เป็นหลัก ในส่วนนักกระโดดสูงหญิง ที่จะขึ้นมาแทน “หนึ่ง” หนึ่งฤทัย ไชยเพชร และ “วิ” วนิดา บุญวรรณ์ คือ กชกร คำเรืองศรี จากโรงเรียนกีฬา จ.ขอนแก่น วัย 14 ปี
พล.ต.อ.สันต์กล่าวต่อว่า เป้าหมายที่สมาคมกรีฑาฯ วางไว้คือ 1.ต้องเป็นเจ้าซีเกมส์อย่างยั่งยืน 2.ต้องได้เหรียญทองในระดับเอเชีย 3.ต้องมีนักกรีฑาไทยผ่านควอลิฟายไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2016 ไม่น้อยกว่า 10 คน โดยสมาคมจ้างโค้ชกรีฑามาคุมทีมยาว 4 ปี รายแรก ปีเตอร์ มาตู ติตี้ หัวหน้าโค้ชทีมกรีฑาระยะไกล และกลางจากเคนยา / รายที่ 2 โต หลี ไช่ โค้ชขว้างจักรโอลิมปิกทีมชาติจีน / รายที่ 3 ฉี หยวน โค้ชขว้างค้อนดีกรีอดีตแชมป์โลก 2002 / รายที่ 4 โควิสกี้ โค้ชกระโดดสูงผู้สร้างตำนานสร้างนักกีฬาควอลิฟายโอลิมปิก 3 สมัยต่อเนื่อง
“ในปี 2015 ทีมกรีฑาไทยจะต้องก้าวขึ้นสู่จุดที่ดีที่สุดอีกสมัย ผมมีความมั่นใจ ผมเชื่อว่าทำได้ และทุกๆ คนโดยเฉพาะแฝดเล็ก (พล.ต.ต.ศุภวณัฎฐ์ อาริยะมงคล ) และแฝดใหญ่ (พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล) พร้อมจะทุ่มเทเพื่อเป้าหมายประการแรกคือ พาทีมกรีฑาไทยทวงบัลลังก์เจ้าลมกรดซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่พม่า ปลายปีหน้า” นายกสมาคมกรีฑากล่าว
หลังจบการแถลงข่าว สมาคมจัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับนักกรีฑาทีมชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมี 3 นักกรีฑาไทยชุดแรกที่ได้ไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ค.ศ.1952 ที่เมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เข้าร่วม โดยครั้งนั้นไปทั้งหมด 8 คน เสียชีวิตไป 5 คน เหลืออยู่ 3 คน ประกอบด้วย นาย บุญภักดิ์ ขวัญเจริญ, นายสถิตย์ เลี้ยงถนอม และ พล.ต.อ.พงศ์อำมาตย์ อำมาตยกุล